ปีนี้(น่า)จะยังไหว จับสัญญาณความหวังเศรษฐกิจไทย 2567
ปี 2566 ผ่านพ้นไปแล้วแบบพอประคองตัวไปได้สำหรับเศรษฐกิจไทยของเรา GDP ตามการคาดการณ์ล่าสุดของกระทรวงการคลัง ปี2566 ปรับลดจาก 2.7% มาจบที่ 1.8% ปี 2566 เป็นอีกปีหนึ่งที่หมีลายๆเหตุการณ์เกดขึ้น เริ่มต้นปีมาด้วยโควิด-19 ที่คลี่คลายตัวลงไปแต่ยังทิ้งเอาไว้ซึ่งผลกระทบเป็นวงการกับทั้งโลกรวมถึงไทยด้วยโดยเฉพาะประเทศคู่ค้าสำคัญของไทยอย่าง สหรัฐอเมริกา จีน ญีปุ่นและกลุ่มประเทศในยูโรโซน โดยจากข้อมูลกระทรงการคลัง คู่ค้า 5 อันดับแรกมีแนวโน้ม GDP ที่ลดลงในปี 2567 นี้ ประกอบด้วย สหรัฐฯ จีน และญี่ปุ่น ส่วนประเทศในกลุ่มยูโรโซนและเวียดนามปรับตัวขึ้นเล็กน้อย และโดยเฉลี่ย 15 อันดับแรกลดลงจาก 3.1% เป็น 2.8% จึงเป็นปัจจัยกดดันภาคการส่งออกจบปีติดลบ -1.0% เนื่องจากเศรษฐกิจไทยเราพึ่งพาต่างชาติถึงกว่า 70% ผ่านการส่งออก การท่องเที่ยวและการลงทุน
และในช่วงเวลาเดียวกันไทยเราก็เผชิญกับปัญหาภาวะเงินเฟ้อสูงที่เป็นกันทั้งโลกและมาจากหลายปัจจัย แต่เหตุการณ์หนึ่งที่สำคัญคือความขัดแย้งระหว่างยูเครนและรัซเซียที่ยังคงลากยาวจนมาถึงปัจจุบันจนทำให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นทำสถิติในช่วงต้นปี 2565 และส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่ออัตราเงินเฟ้อทั่วโลก ทำให้เกิดเทรนด์การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในประเทศต่างๆ โดยเฉพาะพี่ใหญ่อย่างสหรัฐฯที่ปรับจนสูงสุดที่ 5.5% ส่งผลให้เศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัว
ส่วนพระเอกตลอดการอย่างการท่องเที่ยวกับเครื่องหมายการค้า Thailand land of smile ที่ปีนี้เองก็ออกมาแบบถูกตัดบทลดไปจากพระเอกซุปตาร์เป็นพระเอกธรรมดาจากประมาณการนักท่องเที่ยวจีนที่เก็งไว้ 4.4 ล้านคน มาจริงเหลือ 3.5 ล้านคน แต่ยังได้พระเอกสมทบอย่างมาเลเซียบ้านใกล้เมืองเคียงมาช่วยไว้ทำสถิติสูงสูดเป็นประวัติการณ์ที่ 4.5 ล้านคนแบบไม่มีในบทแต่กลายตัวชูบทโดดเด่นขึ้นมาแบบ สาธุ สาธุ ทำให้ยอดนักท่องเที่ยวโดยรวมได้ตามเป้าที่วางเอาไว้ที่ 25 – 28 ล้านคน ถึงแม้เม็ดเงินที่หวังเอาไว้ยังได้ไม่ถึงที่เล็งไว้ก็ตาม
ที่มา : https://www.thaipbs.or.th
หันมามองภายในประเทศก็เจอปัญหาไม่แพ้กัน เริ่มจากภาวะหนี้สาธารณะที่เพิ่มสูงจนเกือบถึงเพดานตามกรอบกฏหมายส่งผลต่องบประมาณการใช้จ่ายของภาครัฐที่ขยับได้แต่เหมือนโดนมัดมือมัดเท้า ทำให้นโยบายต่างๆที่วางเอาไว้ยังคงต้องเซฟเก็บไว้ในคอมการดำเนินการให้เป็นรูปธรรมจึงยัง “เห็นไม่ชัด” และสำหรับงบประมาณปี 2567 นี้เองก็ล่าช้าออกไปจากปกติ 1 ตุลาคมก็พร้อมลุยตอนนี้ลากยาวไปอย่างเร็วกว่าจะได้เอาออกมาใช้ก็ปาเข้าไปพฤษภาคมเป็นต้นไป เกิดเป็นปัญหาใหม่จะใช้งบอย่างไรให้ทันปีงบประมาณและเกิดประสิทธิภาพสูงสุดโดยรั่วไหลน้อยที่สุด
ในส่วนปุถุนคนเดินดินก็เริ่มส่งสัญญาณออกมาดังๆว่าปัญหาทางนี้ก็มีนะ เห็นได้จากประมาณการณ์หนี้ครัวเรือนไตรมาส 3 ปี 2566 อยู่ที่ 16.2 ล้านล้านบาท (90.9% GDP) และคาดการณ์ว่าจะเพิ่มเป็น 16.9 ล้านล้านบาท (91.4% GDP) ตามข้อมูลศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งผู้ร้ายที่รอบทอยู่ทุกเมื่อเวลา อันจะเห็นได้จากข่าวมากมายทั้งเรื่องคนแห่ทิ้งผ่อนรถนับแสนคัน อัตราการปฏิเสธการกู้เงินซื้อบ้านและคอนโดโดยเฉพาะกลุ่มต่ำกว่า 3 ล้านที่มีอัตราสูงถึงกว่า 50%
เอาละถึงปี 2566 ประเทศไทยเราเจอสารพัดก็ยัพอประคับประคองผ่านมาได้และชีวิตยังมีก็ยังไม่สิ้นหวัง ที่ร่ายมาทั้งหมดไม่ได้จะมาเล่าให้หดหู่ใจแต่อย่างใดแต่เป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นไปแล้ว และเราลองมาหันมามองอนาคตปีนี้กันซักหน่อย
สุดท้ายเลยทั้งหมดนี้ยังคงเป็นแค่การคาดการณ์ จะเกิดขึ้นจริงได้คงต้อง “หวัง” กันหลายอย่าง
หวัง....ว่าการท่องเที่ยวจะไม่สะดุด ไม่เกิดเหตุไม่คาดฝันที่จะมากระทบการท่องเที่ยวโดยเฉพาะชาวจีน อยากให้มีปรากฏการณ์ soft power แบบหนัง lost in Thailand ที่จุดประกายบูมการท่องเที่ยวในช่วงก่อนโควิด
หวีง....ว่าโลกจะสงบขึ้น เลิกรบราฆ่าฟัน หันมาทำมาหากินคู่ค้าสำคัญของไทยจะได้ตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินมีเงินมาสั่งซื้อสินค้าไทย ทำให้การส่งออกไทยกลับมาเดินเครื่องได้เต็มสูบอีกครั้ง สตาร์ทเครื่องรอนานๆ น้ำมันจะหมดเอา
หวัง....ว่าปีนี้งบประมาณที่จะออกมาช้าแต่มานะ จะเกิดประกฏการณ์ปาฏิหารย์ที่ผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนจะงดเว้นการคอรรัปชั่นซักปีอย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้งบที่ลงไปผลิดอกออกผลแบบ 100% ซักครั้งในประวิติศาสตร์ชาติไทย
หวัง.....ว่าเรื่องดอกเบี้ยทุกธนาคารต่างส่งสัญญาณว่า 2.5% (ดอกเบี้ยนโยบาย) นะดีแล้ว เอาเป็นว่าในทรรศนะของคนธรรมดาอย่างเราก็ขอให้มีอะไรไปดลใจท่านๆทั้งหลายให้ปรับลดลงมาหน่อยก็แล้วกันจะได้ไม่มีข่าวว่าสิ้นปี 2567 ธนาคารทำลายสถิติผลกำไรพุ่งแบบในปี 2566 ที่ผ่านมา
และสุดท้าย....หวังว่า...ระบบการศึกษาไทยจะบังคับให้ความรู้เรื่องการเงินตั้งแต่เยาววัยอันจะเป้นการปูพื้นฐานการเงินให้คนในประเทศแกร่งทั่วแผ่นตั้งแต่เกิดจนตายอันจะเป็นรากฐานทางเศรษฐกิจที่มั่นคงสืบไปจนชั่วลูกชั่วหลาน...